
อ่านเฉพาะหัวข้อ
นอนกรน(Snoring) เกิดจากสาเหตุใด
เกิดจากการเกิดเสียงรังสีจากท่อลำคอที่มีการขยับของอากาศขณะหายใจในช่วงเวลาที่คุณหลับ สาเหตุอาจมีหลายอย่าง เช่น:
- ปัญหาของทางเดินหายใจ: บางครั้งอาจเกิดจากปัญหาของทางเดินหายใจ เช่น ท่อลำคอหดตัวลงทำให้การไหลของอากาศมีความเสียงดังขึ้น
- การตั้งครรภ์: การตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดอาการกรนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในระบบการหายใจ
- การสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอนอาจทำให้ท่อลำคออักเสบ
- น้ำหนักมากเกินไป: คนที่มีน้ำหนักมากเกินไปอาจมีเสี่ยงในการเกิดอาการกรนมากขึ้น
- การทำงานกลางคืนหรือเปลี่ยนกะงานบ่อย: กลุ่มคนที่ทำงานกลางคืนหรือเปลี่ยนกะงานบ่อยอาจมีโอกาสในการเกิดอาการกรน
อาการกรนที่มีความรุนแรงอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะสุขภาพที่ไม่ดี เช่น อาจเป็นอาการที่รุนแรงที่เรียกว่า “ภาวะนอนกรนอัคคีนีส” (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ที่อาจทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนขณะนอนและมีผลกระทบต่อระบบสุขภาพอื่นๆ
10 ภัยเงียบโรคร้ายจากการกรน มีโรคอะไรบ้าง
อาการกรนอาจเป็นภัยต่อสุขภาพในหลายด้านค่ะ นอกจากอาจส่งผลให้ร่างกายขาดออกซิเจนและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับแล้วที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังเป็นที่มาของอีกหลายๆโรคด้วย เช่น :
บทความใหม่น่าสนใจ : ปวดหัวหลังตื่นนอน สัญญาณนี้บ่งบอกถึงอะไร อันตรายหรือไม่ ?
1. โรคซีเอ็นเอดี (Candida albicans)
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Candida albicans ซึ่งสามารถคายเชื้อได้เมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น สภาพอากาศร้อนชื้น การตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาแอนติบิโอติก (antibiotic) อย่างต่อเนื่อง
ภัยเงียบของโรคซีเอ็นเอดีคือความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นอาจสามารถเกิดขึ้นที่หลายส่วนของร่างกาย ได้แก่ ปาก ลำคอ ลำตัว หรืออวัยวะเพศ ส่วนในอาการที่พบบ่อยๆ คือ:
- การมีจุดขาวๆ หรือพื้นผิวขาวในปากที่อาจเป็นอาการของโรคซีเอ็นเอดีในปาก (Oral Thrush)
- อาการคัน ซึ่งเกิดขึ้นในบริเตนของคำตอบช่วงต่างๆ (Genital Thrush)
- อาการระคายเคือง หรือเป็นแผลบริเตน ซึ่งอาจเกิดขึ้นที่ผิวหนัง (Cutaneous Candidiasis)
- อาการอักเสบหรือหายใจลำคอ (Esophagitis)

2. เสี่ยงเกิดโรคมะเร็ง
อาการกรนไม่ได้เป็นสาเหตุที่เกิดโรคมะเร็งโดยตรง แต่มีบางสถานการณ์ที่อาจเสี่ยงให้เกิดโรคมะเร็งในระยะยาว โดยเฉพาะในส่วนของการนอนที่ทำให้มีการหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดขึ้นในระยะยาว
OSA เป็นภาวะที่เกิดจากการปิดอุปกรณ์ทางเดินหายใจขณะหลับทำให้เกิดช่วงเวลาที่ขาดออกซิเจนและการควบคุมการหายใจไม่เสถียร อาจเกิดอาการเรื่องการสัมผัสหรือเสียงเสียงรังสีเมื่อมีการหายใจขณะหลับ ซึ่งทำให้ระหว่างที่คุณหลับมีการตื่นขึ้นเป็นครั้งคราว เนื่องจากเหตุการณ์นี้ความเสี่ยงของโรคที่เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นคือ:
- เกิดภาวะออกซิเจนไม่เพียงพอ: การขาดออกซิเจนขณะหลับอาจทำให้เซลล์ในร่างกายเสียชีวิตทำให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
- การเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน: การขาดออกซิเจนและอาการเรื่องการสัมผัสที่เกิดขึ้นใน OSA อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสียชีวิต และเกิดการเกิดมะเร็งเมื่อภูมิคุ้มกันไม่สามารถป้องกันเซลล์มะเร็งได้
- ความเครียดและภาวะทางจิตใจ: การกรนที่มีความรุนแรงอาจส่งผลให้คุณหมายเหตุว่ามีภาวะความเครียดหรือสภาวะทางจิตใจที่มากขึ้น ซึ่งความเครียดอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
3. ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมีการปิดอุปกรณ์ทางเดินหายใจขณะหลับ ซึ่งทำให้เกิดช่วงเวลาที่ขาดออกซิเจนและการควบคุมการหายใจไม่เสถียร ซึ่งอาจเกิดอาการเรื่องการสัมผัสหรือเสียงเสียงรังสีเมื่อมีการหายใจขณะหลับ ซึ่งความรุนแรงของอาการอาจแตกต่างกันไป เช่น:
- ความอ้วนหรือน้ำหนักมากเกินไป: ความอ้วนหรือน้ำหนักมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะปิดอุปกรณ์ทางเดินหายใจขณะหลับ
- โครงสร้างทางเดินหายใจที่ไม่เหมาะสม: บางครั้งอาจมีโครงสร้างของทางเดินหายใจที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการปิดอุปกรณ์ทางเดินหายใจขณะหลับ
- การสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้กล้ามเนื้อในทางเดินหายใจค่อยๆ หลอกล่อให้ปิดอุปกรณ์ทางเดินหายใจขณะหลับ
- การตั้งครรภ์: การตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดการปรับตัวของระบบการเจริญพันธุ์หรือการเข้าสังคมของลูกน้อย ทำให้มีการหยุดหายใจขณะหลับ
อาการของ OSA อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพที่สำคัญ ได้แก่ การรู้สึกง่วงในเวลากลางวัน การสั่นของมือ การหมดสติในเวลากลางวัน หรือมีภาวะความดันโลหิตสูง

4. โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
การหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) อาจทำให้เกิดภาวะคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง (Carbon Dioxide Retention) เนื่องจากเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจทำให้เกิดขาดออกซิเจนและส่งออกคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด อย่างเช่น โรคอัมพฤกษ์และอัมพาต
อัมพฤกษ์ (Stroke) คือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดที่ส่วนใดของสมองถูกอุดกั้นหรือแตก ทำให้เกิดภาวะขาดเลือดในส่วนของสมองที่ถูกกระทำ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ที่เปลี่ยนแปลงในการพูด การเคลื่อนไหว หรือซึ่งแก่ร่างกายเฉพาะส่วน
อัมพาต (Heart Attack) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อกระแสเลือดไปหยุดตามหัวใจ ซึ่งอาจเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดในหัวใจ ทำให้เซลล์ในหัวใจเสียชีวิตเนื่องจากขาดออกซิเจน
การรับรู้และการรักษาภาวะ OSA คือเรื่องสำคัญในการลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด หากคุณมีอาการหรือความเสี่ยงในการเกิด OSA ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
5. ความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ความดันของเลือดในหลอดเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พิษจากการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์เป็นต้น อาจทำให้หลอดเลือดตีบ และทำให้หัวใจต้องพักสั้น ๆ อยู่นาน ๆ ตามความต้องการของร่างกายในขณะที่เกิดการหยุดหายใจชั่วขณะ
การที่ร่างกายตกอยู่ในภาวะหยุดหายใจชั่วขณะ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) อาจทำให้หัวใจต้องทำงานเพิ่มเติมในขณะที่เกิดขาดออกซิเจน และเกิดการเพิ่มความดันโลหิตเนื่องจากเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ การที่ไม่ดูแลเรื่องอาหารการกิน การเครียด และน้ำหนักขึ้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงเป็นพิษเพิ่มขึ้น

6. หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ภาวะหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ขณะนอนหลับและการกรนที่มีความเสี่ยงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias) งานวิจัยดังกล่าวเป็นข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของอาการกรนต่อระบบหัวใจและสุขภาพจิตใจของเรา
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นภาวะที่หัวใจของเราเต้นผิดพลาดจากความเร็วหรือจังหวะที่ปกติ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด การเคลื่อนไหวที่หนักขณะที่นอนหลับ หรือจากภาวะหยุดหายใจชั่วขณะที่นอนหลับ (OSA) ซึ่งอาจส่งผลให้หัวใจทำงานเพิ่มเติมและเกิดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
การรักษาอาการนอนกรนอย่างเหมาะสมและการดูแลสุขภาพใจเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นสิ่งที่สำคัญ หากคุณมีอาการนอนกรนหรือความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
7. โรคหัวใจ
ผลกระทบของการนอนกรนต่อสุขภาพหัวใจและสมอง นักวิจัยได้พบว่าผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะหยุดหายใจชั่วขณะนอนหลับและนอนกรนเสียงดังมีโอกาสมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดในสมองแตก หากเกิดการขาดออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์คั่งค้างในร่างกายจะส่งผลเสียไปยังระบบต่างๆ ของร่างกาย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อสุขภาพหัวใจ เช่น อายุ เพศ ดัชนีมวลกาย พฤติกรรมสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ และการออกกำลังกาย ทั้งนี้ควรให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพอย่างครบถ้วนเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและสมอง
8. โรคเส้นเลือดสมองอุดตัน
ทางเดินหายใจที่อุดกั้นอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดสมองอุดตันหรือแตก (Stroke) ได้ ซึ่งเป็นภาวะที่อาจทำให้เสียชีวิตหรือเกิดภาวะพิการตามมา โรคเส้นเลือดสมองอุดตันหรือแตกเกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดสมองถูกอุดหรือแตกทำให้เกิดการขาดออกซิเจนในส่วนของสมองที่เสี่ยง ซึ่งอาจเกิดจากการอุดหรือแตกของเม็ดเลือดหรือการเกิดโรคในเส้นเลือด
การดูแลสุขภาพให้ดี เช่น การควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ลดการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของความอันตราย เลิกสูบบุหรี่ หรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดสมองอุดตันได้

9. โรคสมองเสื่อม
การปล่อยให้สมองขาดออกซิเจนอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลให้เกิดการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์คั่งค้างในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม (Dementia) ได้ โรคสมองเสื่อมเป็นภูมิต้านทานที่ค่อนข้างยากในการรักษาและมักเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สำคัญมากที่จะปฏิบัติในทางที่ดีเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้
การดูแลสุขภาพให้ดี รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียด ภูมิคุ้มกันที่ดี และหากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับสุขภาพหรือสมองควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
10. โรคเบาหวาน
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) สามารถเกิดควบคู่กับโรคเบาหวาน (Diabetes) ได้โดยเฉพาะกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นผลจากการดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ทำให้ร่างกายต้องหลั่งอินซูลินเพิ่มเติมเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่หากเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง ทำให้การตอบสนองต่ออินซูลินลดลงและเป็นอาการที่ส่งผลกระทบต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือดของผู้ที่มีโรคเบาหวานและเป็นอันตรายในการเกิดความดื้ออินซูลินและภาวะเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของผู้ที่มีโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น
สรุป
การกรนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรถูกมองข้าม หากไม่ได้รักษาอาการด้วยวิธีที่เหมาะสม อาจเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดภัยเงียบโรคร้ายต่างๆ ดังนั้น หากพบว่ามีอาการกรนควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อดูแลรักษาให้ได้อย่างถูกต้องและป้องกันภัยเงียบโรคร้ายต่างๆในอนาคต
ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/snoring/symptoms-causes/syc-20377694